ความนำ
พื้นฐานของครู
“ปาเจรา จริยา
โหนติ คุณุตตรา นุสา
สกา”
บทสวดนำของพิธีการสำคัญเพื่อแสดงถึงความเคารพครูอาจารย์ในฐานะ “ศิษย์”ที่มี“ครู” ที่ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และแสดงถึงความกตัญญู ความมีสัมมาคารวะแด่ครูบาอาจารย์อย่างจริงใจ และตามด้วยบทสวดทำนองสรภัญญะ เพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อบูชาครูไว้เหนือศีรษะผู้ซึ่งประสิทธ์ประสาทสรรพวิชาต่างๆ ที่เติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์คือ
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ผู้ก่อประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยาแก่ข้าในการปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพาปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนานอยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวีแก่ข้าและประเทศไทยเทอญฯ
“ปัญญา วุฒิกาเร เต เต ทินโนวาเทนะมามิหัง”
จากบทสวดนี้แสดงถึงความเคารพนบน้อมของ
“ศิษย์” ที่พึงแสดงต่อ “ครู” เป็นการแสดงความเคารพในความเป็นผู้รู้และความเป็นผู้ที่มีคุณภาพ กอปรด้วยเมตตาธรรมต่อ “ศิษย์”
ปรารถนาที่จะให้ศิษย์เดินทางบรรลุถึงความสำเร็จขั้นสูงสุดตามอัตภาพและตามประเพณีไทยโบราณ ให้ถือเอาฤกษ์วันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมิถุนายนของทุกปีเป็นวันไหว้ครู และวันพฤหัสบดีนั้นเป็นราศีแห่งวิชาการ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ เพื่อแสดงถึงความเคารพต่อ “ครู”
มี 4 สิ่ง
คือ
- ดอกมะเขือ เป็นสัญลักษณ์ของความนอบน้อมถ่อมตน
- หญ้าแพรก เป็นสัญลักษณ์ของความอดทน
- หญ้าแพรก เป็นสัญลักษณ์ของความอดทน
- ข้าวตอก เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย
- ดอกเข็ม เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาที่มีความแหลมคมประดุจเข็มที่มีความแหลมคมอยู่ในตัว
สาระเบื้องต้นเป็นเรื่องของการแสดงความกตัญญูต่อ
“ครู”
อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่เจริญ
แล้วทั้งสรรพวิชาทางคุณธรรมและจริยธรรม
ทำให้มองเห็นถึงบทบาทสำคัญยิ่งของผู้ที่ทำหน้าสร้างคน, ปั้นคน,
พิมพ์คน
ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ
และ “ครู” ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “แม่พิมพ์ของชาติ”
เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วย “วิชชาจรณสมบัติ”
อย่างแท้จริง
ตามหลักของความเป็นครู “ครู” และวิชาชีพครู สิ่งหนึ่งที่มองเห็น คือ
สังคมยกย่องว่าเป็นผู้รู้
เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ทรงศีล เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้อบรมสั่งสอนเด็ก
ๆ โดยไม่เลือกชนชั้นและวรรณะ เพื่อที่จะให้เป็นคนดีของสังคม สิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ “ครู”
ดำรงวิชาชีพอย่างภูมิใจและหนักแน่น
คือ คุณธรรมสำหรับครูนั่นเอง
คุณธรรมหลักใหญ่ที่ส่งเสริมให้
“ครู”
ประสบผลดีในการสอน คือ ความเสียสละ
ความมีเมตตาต่อศิษย์อย่างเท่าเทียมกัน
ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
มีน้ำใจงดงาม
ประพฤติดีปฏิบัติชอบ มีจรรยามารยาท ประพฤติเหมาะสมกับกาลเทศะ
แสดงเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเป็นพื้นฐานเบื้องต้น และอาชีพครู นั้นไม่มีวันหยุดทำการสอน ผู้ที่เป็น “ครู” โดยวิญญาณนั้นจะมีตัวใจเพื่อที่จะถ่ายทอดสรรพวิชาต่าง ๆ
โดยไม่เลือกวันเวลาและกลุ่มเป้าหมาย
โดยมีหลักคุณธรรมเป็นกรอบพื้นฐานเบื้องต้น
ในหัวใจของความเป็น “ครู” หลักคุณธรรม
ในปัจจุบันสังคมมีความคาดหวังและเรียกร้องกับคำว่า
“คุณธรรม” สำหรับภาคปฏิบัติในงานอาชีพต่าง ๆ
โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพการงานเกี่ยวข้องกับการบริหารงาน, ด้านงบประมาณ ,วัสดุ สื่อต่าง ๆ
และการบริหารคน ตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงรากหญ้า ที่เรียกร้องจะต้องมีคุณธรรมนั้น เข้าใจถึงคุณธรรมกันในระดับไหน
ความมีคุณธรรมในแต่ละบุคคลนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากภายในตัวตนของบุคคล ออกมาจากสภาวะแห่ง “จิต” ที่บริสุทธิ์หนักแน่น
ซื่อตรงและมั่นคง ไม่ใช่สิ่งที่จะมาปั้นแต่งเพียงฉาบฉวยภายนอกเท่านั้น
คำว่า “คุณธรรม สามารถแยกออกเป็นคำ 2
คำประสมกัน คือ คุณ +
ธรรม เท่ากับคุณธรรมและเป็นคำสมาส
ท่านพุทธทาสได้ให้ความหมายของ
“คุณ”
กับ “ธรรม” ไว้อย่างชัดเจนคือ
คำว่า “คุณ”
คำเดียวโดด ๆ หมายถึง ค่าที่มีอยู่ในแต่ละสิ่ง ๆ
ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือเป็นไปได้ทั้งทางดีและทางร้าย คือ
การทำจิตให้ยินดีเรียกว่า “คุณ”
ทำจิตให้ยินร้ายซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ผู้ที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจะอยู่เหนือความหมายของคำที่ว่านี้ คือ จะไม่ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นอะไร เรียกว่าอยู่เหนือสิ่งที่เรียกว่า “คุณ”
ส่วนคำว่า “ธรรม”
หมายถึง
ธรรมะหรือธรรมสำหรับผู้ที่เจริญแล้วพึงปฏิบัติยึดถือเป็นหลักชัยและแก่นแท้ของชีวิต
คุณธรรมจึงหมายถึง คุณสมบัติฝ่ายดีโดยส่วนเดียว
เป็นที่ตั้งหรือเป็นประโยชน์แก่สันติภาพหรือสันติสุขของมนุษย์
“คุณธรรม” หมายถึง สภาพคุณงามความดี
“คุณธรรม”
หมายถึง
ลักษณะที่ดีงามหรือพฤติกรรมที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัยและการที่บุคคลได้กระทำตามความคิดและมาตรฐานของสังคมในทางความประพฤติและจริยธรรม
“คุณธรรม” หมายถึง
ระบบแนวความคิดเกี่ยวข้องกับความประพฤติที่ดี
โดยสรุปแล้ว
คุณธรรม คือ ความดีอันสูงสุดปลูกฝังอยู่ในนิสัยอันดีงามอยู่ในภาวะจิตสำนึก
ในความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกสนองความต้องการของสังคม
คุณธรรมของครู
พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวไว้ว่า
คุณธรรมของครูไม่ต่างจากพระคุณ 3 ประการ
ของพระบรมครู คือ ปัญญาคุณ วิสุทธิคุณ
และกรุณาธิคุณ
และเหตุผลสำคัญที่ครูต้องมีคุณธรรมทั้ง 3 ประการ คือ
1.ครูต้องมีปัญญา รู้ว่าอะไรคือ สิ่งที่ดี เพื่อครูจะได้ทำให้ถูกดี ถึงดี และพอดี
2.ครูต้องมีวิสุทธิคือ ความบริสุทธิ์ใจในวิชาชีพครูสอนเด็กเพื่อประโยชน์ของเด็กนักเรียนเป็นที่ตั้งงานของครูเป็นอาชีพที่ไม่ใช่ธุรกิจ
เพราะอาชีพครูคือการถ่ายทอดความรู้และความชำนาญพิเศษแก่ศิษย์ อาชีพครูไม่ใช่งานธุรกิจเป็นงานที่ให้บริการทางปัญญาแก่สังคม ครูจึงต้องมีคุณธรรม โดยมีความบริสุทธิ์ใจ ในหน้าที่ของตนจึงจะรักษาสถานะของปูชนียบุคคลไว้ได้
เมื่อใดครูสอนศิษย์เพราะเห็นแก่เงินอย่างเดียว
เมื่อนั้นครูจะมีสถานะเป็นลูกจ้างของศิษย์เท่านั้นไม่ใช่ “ปูชนียบุคคล”
3.ครูต้องมีกรุณา คือ
มีความเห็นอกเห็นใจใครจะช่วยเหลือศิษย์ที่กำลังอยู่ในที่มืดให้พบแสงสว่างแห่งปัญญา เป็นผู้จุดประทีปในความมืด (ชี้ทางแห่งความเป็นจริง)
มีความรักใคร่กรุณาต่อศิษย์แม้บางครั้งต้องลงโทษศิษย์บ้างก็ทำด้วยความรักและความหวังดี
คุณธรรม 3 ประการนี้ เมื่อประพฤติปฏิบัติจักได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีวิญญาณของครูโดยสมบูรณ์
และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับครูและผู้ที่จะเป็นครูอาชีพ เพราะครูเป็นผู้ที่ได้รับการพัฒนาทั้งสติปัญญาและคุณธรรม ความประพฤติที่เป็นแบบอย่างของสังคม
ตามหลักของพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดหลักธรรมซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาไว้ 3 ประการ
เหมาะที่จะเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิต
ในทุกสาขาอาชีพนอกเหนือจากอาชีพครู
คือ
1.การไม่กระทำความชั่วทุกอย่าง
2.การกระทำความดีให้สมบูรณ์
3.การทำจิตใจของตนให้ผ่องใส
หลักคุณธรรมสำหรับครู
ที่แท้จริงแล้วอยู่ที่ตัวครูในการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์
ยึดมั่นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาขั้นพื้นฐาน คือ เบญจศีลและเบญจธรรมหรือกัลยาณธรรม ที่จะเติมเต็มความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
เมื่อมีหลักธรรมแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติทางหลักธรรมอย่างแท้จริง แล้วก็ถือว่าไม่เข้าถึงในธรรมและไม่เข้าถึงงาน “ครู”
นอกจากนั้นยังมีหลักธรรมอีกหลายประการซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในเนื้อหาที่ตรงกับหลักธรรมนั้น
ๆ ของบทต่อไป
No comments:
Post a Comment